การเดินทางของ ลูก้า โมดริช

การเดินทางของ ลูก้า โมดริช


ในปีค.ศ. 1991 ในประเทศเล็ก ๆ อย่างโครเอเชีย ได้มีสงครามกลางเมืองแช่งชิงอำนาจวุ่นวาย ประชาชนก็ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก แย่ที่สุดก็ถึงขั้นเสียชีวิตจากสงครามที่พวกเขาไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่เลยด้วยซ้ำ สงครามครั้งนี้มีชื่อเรียกว่า สงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย และถึงแม้ว่าจะเรียกว่าสงครามประกาศอิสรภาพ แต่ก็ทำให้ชาวโครแอทหลายคนถูกปราบปราม โดยกองกำลังที่หวังจะใช้โอกาสนี้ยึดครองโครเอเชียอีกที เรียกว่ากองกำลังชาวเซิร์บ 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้หลายครอบครัวในโครเอเชียต้องอพยพลี้ภัยออกจากประเทศ บางครอบครัวต้องอยู่ในค่าย แต่มีบางครอบครัวต้องไปอยู่และใช้ชีวิตในโรงแรมนานถึง 7 ปีและครอบครัวนี้ก็เป็นครอบครัวของสุดยอดกองกลางที่เพิ่งได้รับตำแหน่งกัปตันทีมของราชันย์ชุดขาวไปหมาด ๆ อย่าง ลูก้า โมดริช ชีวิตของเขาในตอนนั้นต้องอยู่อย่างแสนลำบาก การที่ปู่ของตัวเองถูกสังหารโดยกลุ่มกบฎชาวเซิร์บ และบ้านที่ใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่ต้องถูกไฟเผาจากพิษสงคราม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะหยุดเส้นทางของการเป็นนักเตะระดับโลกของเขาได้


ลูก้า โมดริช ในวัยเด็กใช้เวลาที่ตัวเองต้องหนีไฟสงคราม ฝึกซ้อมทักษะผ่านพื้นปูนขรุขระและโกล์รูหนูในลานจอดรถของโรงแรม กับเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ในโลกของฟุตบอลสมัยนั้นถูกปลูกฝังด้วยความเชื่อเรื่องพละกำลังและความแข็งแกร่ง การมีร่างกายที่บอบบางและดูอ่อนแอจึงเหมือนจะเป็นปมด้อยของเด็กน้อยโมดริชในตอนนั้น แต่ไม่นานความพยายามและเซนต์ฟุตบอลที่เขามี ก็ผลักดันให้เขา เข้าไปสู่เส้นทางที่เขาได้เลือกไว้ตั้งแต่แรก 


จุดเริ่มต้นจากสโมสรในท้องถิ่น และทะยานสู่ทีมใหญ่ประจำเมืองอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ แต่เส้นทางแห่งความสำเร็จก็ไม่ได้เดินทางไปง่าย ๆ  การที่เด็กน้อยได้ก้าวขั้นเข้าไปอยู่ในทีมใหญ่ได้ด้วยเวลาอันสั้น เขาต้องต่อสู้และพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก ไม่นานนักเขาก็ถูกปล่อยยืมตัวไปหาประสบการณ์ในลีคของประเทศบอสเนีย ลีคที่ได้ชื่อว่าโหดและหิน


ที่นั่น โมดริช เองต้องเผชิญกับการเข้าปะทะที่หนักหน่วง และเต็มไปด้วยการเหยียดเชื้อชาติจากแฟนบอลเลือดร้อน แต่คำสบประมาทต่าง ๆ ก็ไม่สามารถทำลายความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยาน สุดท้ายในปีนั้น ลูก้า โมดริช ก็คว้ารางวัลตำแหน่งผู่เล่นยอดเยี่ยมประจำปีมาครองได้ ด้วยอายุแค่เพียง 18 ปีเท่านั้น


และเมื่อกระดูกแข็งและเข้าที่เข้าทาง ดินาโม ซาเกร็บ ก็อ้าแขนต้อนรับเขากลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง  และนั่นแหละคือเวลาของเขาจริง ๆ โมดริช ตอบแทนสัญญา 10 ปีที่ ดินาโม ซาเกร็บ ยื่นให้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีคถึง 3 สมัย พ่วงด้วยแชมป์บอลถ้วยและรางวัลส่วนตัวของเขาเองอีกมากมาย และไม่นานนักชื่อของ ลูก้า โมดริช ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก


จากเมืองที่เต็มไปด้วยสงคราม ในปี 2008 ตัวเขาได้เดินทางเข้ามาสู่เมืองที่ศิวิไลกว่าอย่างลอนดอนในเกาะอังกฤษ และก็ไม่เคยทำให้ใคร ๆ ต้องผิดหวัง เพราะตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอุทิศการเล่นฟุตบอลให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ การพาทีมขึ้นไปอยู่บนหัวตารางและสามารถแย่งชิงพื้นที่ในการไปลงเล่นในฟุตบอลยุโรปได้นั้น ลูก้า โมดริช ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีม


หลังจากลงเล่นให้กับทีมในเมืองหลวงของเกาะอังกฤษ 4 ปี โมดริช ก็เก็บกระเป๋าเดินทางตามความฝันในเส้นทางอาชีพต่อที่ เรอัล มาดริด ทีมใหญ่และเต็มไปด้วยนักเตะซูเปอร์สตาร์ในตอนนั้นไม่ได้ทำให้เขาต้องรู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด ความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจที่มีติดตัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ ส่งผลให้เขาใช้ชีวิตท่ามกลางบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ และแบกรับความกดดันต่าง ๆ ความชาญฉลาดและเซ้นท์ในเกมฟุตบอล ทำให้เขากลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่พาราชันย์ชุดขาวคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ยุโรปได้ถึง 3 ปีซ้อน 


ในปีเดียวกัน ประสบการณ์ ประกอบกับชั้นเชิงลูกหนังและความแข็งแกร่งในด้านจิตใจและร่างกาย ลูก้า โมดริช เกือบสร้างปาฏิหารย์ในเวทีแข่งขันระดับชาติ เมื่อเขาสามารถพาโครเอเชีย เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลกที่รัสเซีย แม้ว่าโครเอเชียจะต้องพ่ายแพ้ให้กับฝรั่งเศษก็ตาม แต่ความเหนือชั้นและชาญฉลาดในเกมลูกหนังของเขาก็ยังติดตรึงอยู่ในดวงตาประชาชนทั่วโลก รวมทั้งในดวงตาของคณะกรรมการฟีฟ่าซึ่งได้ลงมติมอบรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ให้แก่เขา


เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ ลูก้า โมดริช กลายเป็นนักเตะที่สามารถคว้ารางวัล บัลลงดอร์ นอกเหนือจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลีโอเนล เมสซี่ และเขาก็ยังทำสิ่งที่น่าประทับใจเมื่อได้อุทิศรางวัลนี้ให้แก่นักเตะทุกคนที่ถูกกลบด้วยรัศมีของแข้งดังทั้ง 2 คน


  จนถึงวันนี้ ลูก้า โมดริช จะอายุ 36 ปีแล้ว และถนนลูกหนังสำหรับเขา คงไม่ได้ทอดไปอีกไกลนัก อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาคว้ารางวัลยิ่งใหญ่มามากมายในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ทั้งระดับส่วนตัวและสโมสร เรียกได้ว่าเขาเป็นนักฟุตบอลคนหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในสายอาชีพของตัวเอง 


และอาจจะเป็นเพราะการเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดหิน ทารุณ และต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาจากภัยสงคราม หรือเป็นเพราะความอึดอัดจากข้อครหาว่ามีร่างกายที่บอบบางเกินกว่าจะปะทะกับใคร 


  แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว คำติฉินนินทาต่าง ๆ ไม่ได้สะท้อนตัวจริงของเขาว่าเขาเป็นใคร เขาเพียงก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่เขารักและตัดสินใจเลือก เขาคว้าทุกโอกาสที่เข้ามาหาเขาและไม่เคยปล่อยให้มันหลุดมือ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาบาดเจ็บรบกวนเพียงใด เขารู้เพียงว่าต้องเพียรทำงานหนักทั้งในและนอกสนามเพื่อพิสูจน์ตนเอง และวันนี้โลกก็ได้รู้จักกับชายตัวเล็กท่าทางบอบบางในฐานะมิดฟิลด์ ที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่งแล้ว.


ดูข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : Goalstorm




ความคิดเห็น